ประเทศไทยยังขาดความเชี่ยวชาญด้านการคุ้มครองเด็กในระดับชุมชน

เด็กที่อยู่ในภาวะเปราะบางจำนวนมากยังคงเข้าไม่ถึงบริการด้านการคุ้มครองเด็ก

แกรี่ ริสเซอร์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย
ภาพเงาของเด็กชาย
UNICEF Thailand
22 เมษายน 2019

ความรุนแรงต่อเด็กเป็นสิ่งที่แพร่หลายในสังคมไทย ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปี 2560 มีเด็กเกือบ 9,000 คนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากถูกทำร้าย โดยส่วนใหญ่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ หนำซ้ำตัวเลขนี้อาจเป็นเพียง ‘ยอดภูเขาน้ำแข็ง’ เนื่องจากกรณีที่เรารับทราบก็มักเป็นกรณีที่รุนแรงมาก ๆ เท่านั้น  นอกจากนี้ ข้อมูลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติในช่วงปี 2558-2559 ชี้ว่า ร้อยละ 4.2 ของเด็กอายุ 1-14 ปี เคยถูกลงโทษอย่างรุนแรงที่บ้านในช่วงเดือนก่อนการสำรวจ ซึ่งมีทั้งการถูกตบหรือตีที่ใบหน้า ศีรษะ หู หรือถูกตีซ้ำ ๆ อย่างสุดแรง และถ้าเทียบกับจำนวนประชากรเด็กในวัยนี้ จะเท่ากับว่า มีเด็กถูกทำร้ายถึง 470,000 คน

ในทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีการดำเนินงานด้านคุ้มครองเด็กในหลายด้าน เช่น การจัดตั้งศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Centre) ในระดับจังหวัดและอำเภอ และจัดตั้งบ้านพักเด็กและครอบครัวในทุกจังหวัดเพื่อให้การดูแลรักษาและช่วยเหลือเด็กที่อยู่ในภาวะเปราะบางรวมทั้งเด็กที่ถูกกระทำรุนแรง อีกทั้งยังจัดให้มีบริการสายด่วน 1300 เพื่อรับเรื่องร้องเรียนทุกปัญหาสังคมรวมทั้งการกระทำรุนแรงต่อเด็ก

อย่างไรก็ตาม เด็กที่อยู่ในภาวะเปราะบางจำนวนมากยังคงเข้าไม่ถึงบริการด้านการคุ้มครองเด็กดังกล่าว เนื่องจากบริการเหล่านั้นมักตั้งอยู่ในระดับจังหวัด  แต่เหตุการณ์รุนแรงหรือการล่วงละเมิดต่อเด็ก ๆ ส่วนใหญ่กลับเกิดขึ้นในระดับท้องถิ่นหรือระดับหมู่บ้าน ซึ่งแทบไม่มีนักสังคมสงเคราะห์หรือเจ้าหน้าที่ด้านการคุ้มครองเด็กที่ประจำอยู่เลย ทำให้ไม่มีกลไกในการระบุตัวเด็กที่อยู่ในภาวะเปราะบางหรือเด็กที่ถูกกระทำรุนแรง รวมถึงไม่มีกลไกในการส่งตัวเด็กให้เข้ารับบริการในระดับจังหวัดที่เหมาะสมต่อไป

เด็กชายตัวน้อยกำลังเล่นกระดานลื่น เขากำลังจ้องมองมาที่กล้อง
UNICEF Thailand/2014/Aphiluck Puangkaew

แม้งานด้านคุ้มครองเด็กถือเป็นงานที่ค่อนข้างซับซ้อนและต้องลงทุนในทรัพยากรทั้งด้านบุคลากรและเงินทุนในการดำเนินงาน แต่หน่วยงานท้องถิ่นกลับไม่ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองเด็กเป็นลำดับต้น ๆ และมักจัดสรรทรัพยากรไปกับเรื่องอื่น ๆ ก่อน ทั้ง ๆ ที่งานวิจัยต่าง ๆ จะชี้ชัดว่า ความรุนแรงสามารถส่งผลกระทบต่อเด็กตลอดชีวิต

ปัจจุบัน อัตราส่วนของนักสังคมสงเคราะห์ในประเทศไทยคือราว ๆ 4 คนต่อประชากร 100,000 คน เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งมี 207 คน หรืออังกฤษซึ่งมี 137 คนต่อประชากร 100,000 คน ในระดับท้องถิ่น คาดว่ามีการขาดแคลนนักสังคมสงเคราะห์ราว ๆ 7,000 คน ซึ่งการขาดแคลนนักวิชาชีพเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการคุ้มครองเด็กที่มีประสิทธิภาพ และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้เด็กต้องถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนจะเข้าถึงความช่วยเหลือที่เหมาะสม หรือไม่ก็อาจตกหล่นในกระบวนการส่งต่อ

คำถามที่สำคัญ คือ เราต้องทำอย่างไรเพื่อให้แต่ละท้องถิ่นมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เด็กและครอบครัวที่เปราะบางหรือถูกกระทำรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงที ผ่านการเฝ้าระวัง การระบุตัวเด็ก หรือการส่งต่อเด็กไปรับบริการในระดับจังหวัด ทั้งนี้ปัญหาดังกล่าวไม่ใช่ความท้าทายเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาที่หลายประเทศทั่วโลกต่างก็ประสบอยู่

เด็กหญิงสองคนกำลังอยู่ที่หน้าต่าง คนนึงกำลังมองกล้องและยิ้มมาให้
UNICEF Thailand

การแก้ไขปัญหามีอยู่สองแนวทาง  ที่อาจจะเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทำควบคู่กันก็ได้ แนวทางแรกคือ จัดให้มีนักสังคมสงเคราะห์ประจำอยู่ในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือมอบหมายบทบาทและความรับผิดชอบงานด้านคุ้มครองเด็กให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มีอยู่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะต้องได้รับการฝึกอบรมให้สามารถประสานงานกับเครือข่ายและอาสาสมัครเพื่อระบุตัวเด็ก ตลอดจนสามารถให้ความช่วยเหลือเด็กเบื้องต้นได้อย่างทันท่วงที ตลอดจนสามารถส่งต่อเด็กไปยังบริการระดับจังหวัดได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

แนวทางที่สองคือ มอบหมายให้ผู้ปฏิบัติงานในภาคประชาสังคม เช่นเจ้าหน้าที่เอ็นจีโอ ให้ทำหน้าที่นี้แทน โดยรัฐต้องให้ สนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้มี “อำนาจหน้าที่” ในการคุ้มครองเด็ก เพื่อเอื้ออำนวยให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเข้าถึงตัวเด็กที่อยู่ในระดับท้องถิ่นได้

นอกจากนี้ การปรับปรุงคุณภาพของบริการด้านคุ้มครองเด็ก รวมทั้งการติดตามและประเมินผลก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง โดยการระบุตัวเด็ก การส่งต่อ การดูแลและการให้คำปรึกษาจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ  ที่ถูกกระทำรุนแรงได้รับการฟื้นฟูทางร่างกายและจิตใจและกลับคืนสู่สภาวะปกติได้ โดยไม่มีเด็กคนใดต้องตกหล่นระหว่างกระบวนการคุ้มครองเด็กนี้

ประเทศไทยจำเป็นต้องลงทุนในทุกขั้นตอนของกระบวนการคุ้มครองเด็ก ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาคุณภาพบริการ การจัดให้มีกลไกคุ้มครองเด็กในระดับท้องถิ่น หรือการจ้างและฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ด้านนี้มากขึ้น แนวทางดังกล่าวนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยส่งเสริมสุขภาวะให้แก่เด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการรับรองว่าเด็กและคนหนุ่มสาวในประเทศไทยมีสิทธิได้รับการปกป้องคุ้มครองจากการความรุนแรง การล่วงละเมิด การแสวงประโยชน์ การทอดทิ้ง ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กอย่างแท้จริง

บทความนี้เป็น 1 ใน 5 บทความขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เพื่อนำเสนอประเด็นหลัก 5 ด้านที่สำคัญต่อการลงทุนในการพัฒนาเด็กและเยาวชน เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเท่าเทียมของประเทศไทยต่อไป

 

More stories in this series

ลดช่องว่างการดูแลเด็กปฐมวัยเพื่อเด็กไทยทุกคน

ประเด็นที่น่าเป็นห่วงสำหรับเด็กที่เกิดในประเทศไทยในวันนี้ คือภาระในอนาคตเมื่อเด็กกลุ่มนั้นเติบโตเข้าสู่วัยทำงาน เด็กเหล่านี้จะต้องแบกรับภาระของคนสูงอายุมากขึ้นเพราะประเทศไทยจะก้าวสู่ประเทศที่เป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged-Society) โดยประมาณการในอนาคตจะมีอัตราพึ่งพิงของผู้สูงอายุ 1 คน ต่อคนวัยทำงานถึง 1.7 คน เทียบกับใน 9 ปีที่แล้วที่มีอัตราพึ่งพิงของผู้สูงอายุ 1 คนต่อคนวัยทำงานถึง 5 คนด้วยกัน

การศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21

คำว่า “การศึกษาสำหรับศตวรรษที่ 21” ย้ำให้เห็นว่า เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสภาพแวดล้อมที่ประเทศต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ  และระบบการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัว โดยไม่ใช่แค่การปฏิรูปเพียงครั้งคราว แต่ต้องเป็นการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอบสนองความต้องการของเยาวชน สังคมและตลาดแรงงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต

พัฒนาเยาวชนให้พร้อมรับมือกับอนาคตได้อย่างมั่นใจ

เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญคือการพัฒนาเยาวชนให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและเป็นผู้นำที่จะพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศกำลังเผชิญกับอัตราการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรในการเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ

นโยบายห้าประการด้านเด็กและเยาวชนที่รัฐบาลใหม่ควรให้ความสำคัญ

ยูนิเซฟเชื่อว่าการโฟกัสไปที่ห้าแผนปฏิบัติสำคัญเพื่อเด็ก จะก่อให้เกิดผลลัพธ์ในวงกว้างขึ้น เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม และเป็นแนวทางที่ภาครัฐควรจะพิจารณา เพื่อให้สิ่งเหล่านี้เป็นแนวปฏิบัติขั้นพื้นฐานเพื่อเด็กทุกคนในประเทศไทย

You can start taking action here

เด็กผู้หญิงกำลังยื่นมือข้างขวาของเธอออกมา บนฝ่ามือมีคำว่า ช่วยด้วย เขียนเอาไว้
UNICEF Thailand

One thousand nightmares can end with your one voice
 

Each year hundreds of thousands of children suffer violence.
Only thousands are reported. Join our campaign. Help us end violence.