เมื่อครูจิราทิพย์ แก้วไพศาล ได้ยินว่ากำลังมีการเก็บข้อมูลในจังหวัดนครพนมเพื่อทำการสำรวจระดับชาติว่าด้วยสถานการณ์สตรีและเด็ก เธอมีข้อสงสัยเพียงคำถามเดียวว่า: “(หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง) จะส่งผู้เชี่ยวชาญ หรือครูพิเศษมาจัดชั้นเรียนเสริมให้นักเรียนหรือเปล่าคะ”
ความกังวลของจิราทิพย์ ครูสอนภาษาไทยในชั้นประถมปีที่ 4-6 ที่โรงเรียนบ้านงิ้วสร้างแก้ว อำเภอโพนสวรรค์ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เพราะประมาณครึ่งหนึ่งของนักเรียนชั้นป. 4 และ 5 ไม่สามารถอ่านเขียนได้อย่างที่ควร ในขณะที่ห้าคนจากจำนวนนักเรียน 21 คนในชั้นป. 6 ด้อยทักษะทางภาษา
บ่ายวันนั้น นักเรียนคนหนึ่งของเธอจะต้องทดสอบทักษะการอ่านและการคำนวณ เพื่อเก็บข้อมูลทางสถิติสำหรับการสำรวจสถานการณ์สตรีและเด็กในประเทศไทย พ.ศ. 2565 (Thailand 2022 MICS) ซึ่งจัดทำขึ้นทุก 3 ปีโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติและได้รับการสนับสนุนจากยูนิเซฟ

การสำรวจดังกล่าวเก็บข้อมูลกว่า 150 ตัวชี้วัดเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของครัวเรือน ภาวะเจริญพันธุ์และอนามัยแม่และเด็ก โภชนาการ การกินนมแม่และการกินอาหารของเด็ก พัฒนาการของเด็ก การเข้าถึงการศึกษา ทักษะการเรียนรู้ขั้นความใส่ใจและการมีส่วนร่วมของพ่อแม่และผู้ปกครอง รวมถึงการแต่งงานเร็ว การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น ระเบียบวินัยของเด็กและทัศนคติเกี่ยวกับความรุนแรง
การสำรวจครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ – จากหมู่บ้านงิ้วในบ้านค้อที่อยู่ห่างจากเมืองนครพนมหนึ่งชั่วโมง ไปจนถึงหมู่บ้านขุนสาในที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาจังหวัดแม่ฮ่องสอนซึ่งเข้าถึงได้ทางถนนดินโคลนคดเคี้ยวระยะทางสองชั่วโมงจากเชียงใหม่เพียงทางเดียว แต่ความห่างไกลเข้าไม่ถึงนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับพนักงานแจงนับของสำนักงานสถิติแห่งชาติหลายร้อยคนที่แข่งกับเวลาเพื่อเก็บข้อมูลมากกว่า 34,000 ครัวเรือนทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะนำเสนอผลการสำรวจได้ในช่วงต้นปีหน้า

“การสำรวจนี้มีความสำคัญเพราะครอบคลุมแทบทุกตัวบ่งชี้หลักที่จำเป็นต่อการกำหนดนโยบายเพื่อคุณภาพชีวิตของเด็ก” ชญานิศ หวังดี ผู้ช่วยแผนกวิเคราะห์นโยบายสังคมอาวุโส องค์การยูนิเซฟ กล่าว “ผลสำรวจใหม่จะเป็นข้อมูลเจาะลึกแสดงให้ผู้กำหนดนโยบายตระหนักว่าโควิด-19 ส่งผลรุนแรงต่อเด็กอย่างไรบ้าง และการเก็บข้อมูลโดยการเพิ่มตัวอย่างในระดับจังหวัดยากจน ยังเป็นการขยายภาพให้เห็นถึงปัญหาในด้านต่าง ๆ ที่เด็ก ๆ ในพื้นที่จะต้องเผชิญ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็มีปัญหาที่แตกต่างกัน ข้อมูลจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญทำให้เรานำไปใช้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น”
ผลการสำรวจครั้งที่ผ่านมาในปี 2562 มีแนวโน้มที่ดีในหลายด้าน Thailand 2019 MICS พบว่าจำนวนเด็กวัย 3-5 ปีที่เข้าโครงการพัฒนาเด็กปฐมวัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 60 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 84 ในปี 2555 และร้อยละ 86 ในปี 2562 และเด็กในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าเรียนในระดับปฐมวัยถึงร้อยละ 92 สูงที่สุดของการสำรวจ
ทั้งนี้จังหวัดนครพนมยังมีจำนวนเด็กที่เข้าเรียนชั้นประถมต้นเกือบร้อยละ 96 แต่ลดลงเป็นลำดับในชั้นประถมปลายและมัธยมต้น แต่ข้อกัลวลของครูจิราทิพย์คือทักษะการอ่านของนักเรียนวัย 7-14 ปีในนครพนมที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ
“ครูก็ไม่รู้ว่าทำไมนักเรียนบางคนถึงอ่านเขียนไม่ได้” ครูจิราทิพย์บอก เธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้ปกครองในหมู่บ้านพูดว่าบทเรียนยากเกินไปสำหรับเด็ก ๆ “ถ้าแบบฝึกหัดยากเกินไป ทำไมนักเรียนคนอื่น ๆ ในชั้นถึงทำการบ้านได้ล่ะ”
ความสามารถในการอ่านและทำความเข้าใจข้อความง่าย ๆ ที่เคยเรียนในห้องเรียน เป็นบททดสอบหนึ่งเพื่อดูถึงทักษะพื้นฐานในการอ่านของเด็ก การอ่านออกเขียนได้ในชั้นเริ่มต้นมีความสำคัญมากเพราะในชั้นที่สูงขึ้นจะเรียนได้ยากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ตามไม่ทันตั้งแต่แรก

เทียม แสนคำพล คุณพ่อลูกสองชาวบ้านค้อ เห็นใจเด็ก ๆ ที่ต้องอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายเพราะพ่อแม่ไปทำงานในเมืองใหญ่
“บางครั้งผมเองก็ตอบคำถามการบ้านไม่ได้เหมือนกัน แล้วปู่ย่า (ที่อ่านหนังสือไม่ออก) จะช่วยได้ยังไง” เทียมตั้งคำถามและเสริมว่า เขาเป็นหนึ่งในพ่อแม่จำนวนไม่กี่คนของหมู่บ้านนี้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี
รัชฎาภา โชติชื่น ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่โรงเรียนบ้านนาเต่าซึ่งอยู่ใกล้กันสังเกตเห็นเช่นกันว่านักเรียนหลายคนที่เรียนไม่ทันนั้นส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ช่วยสอนการบ้านได้น้อย “ความช่วยเหลือจากครูและผู้ปกครองคือสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิผล”
นักเรียนของเธอหลายคนอาศัยอยู่กับปู่ย่าตายายที่ส่วนใหญ่สะกดชื่อตัวเองแทบไม่ได้และไม่สามารถช่วยหลานทำการบ้าน การปิดโรงเรียนยาวนานในช่วงการแพร่ระบาดในช่วงสองปีที่ผ่านมาทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง เด็กหลายคนตามบทเรียนไม่ทันเพราะขาดอุปกรณ์และไม่มีครูให้ปรึกษา เด็กจากตาก นราธิวาส ปัตตานี และยะลา พบความยากลำบากมากที่สุดในการเข้าถึงอุปกรณ์สำหรับเรียนออนไลน์
สถิติจาก MICS ชี้ให้เห็นประเด็นนี้อย่างชัดเจน จำนวนของเด็กที่ไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากร้อยละ 18 ในปี 2548 เป็นร้อยละ 21 ในปี 2555 และเป็นร้อยละ 22 ในปี 2562 ผลสำรวจล่าสุดพบว่า เด็กหนึ่งในห้าคนไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ แม้ว่าพ่อแม่จะยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม และจำนวนเด็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพิ่มเป็นร้อยละ 35
การมีส่วนร่วมของพ่อแม่ เช่นการเล่าเรื่อง หรือเล่นกับเด็ก เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนและดูแลเด็กเล็กให้พัฒนาได้เต็มศักยภาพ การไม่ได้อยู่ด้วยกันทำให้พ่อแม่มีส่วนร่วมในการเรียนรู้ของเด็กต่ำ การมีส่วนร่วมของแม่ในจังหวัดนครพนมอยู่ที่ร้อยละ 43 ซึ่งถือว่าต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 62 แต่ยังดีกว่าการมีส่วนร่วมของพ่อซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 21.8 เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของประเทศที่ร้อยละ 33.9

ในชนบทที่แม่ฮ่องสอน การขาดความรู้ทางโภชนาการยังเป็นอีกข้อที่น่ากังวล วรชาติ กองรัตนศาสตร์ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านขุนสาในกล่าวว่าถึงแม้ชาวบ้านจะมีรายได้พอเลี้ยงตัว แต่หลายคนขาดความรู้ด้านโภชนาการ พวกเขาจึงรับประทานสิ่งที่มีในหมู่บ้าน ซึ่งหมายความว่าในหมู่บ้านห่างไกลจะเลือกแหล่งโปรตีนได้อย่างจำกัด นอกจากนี้ชาวบ้านยังมีความเชื่อไม่บริโภคเนื้อหมูและปลาบางชนิด ทำให้ตัวเลือกโปรตีนจึงยิ่งน้อยลงไปอีก
“พ่อแม่หลายคนไม่เคยได้รับความรู้เรื่องโปรตีนทางเลือก เช่น เต้าหู้ หรือ ถั่ว” วรชาติกล่าวและเสริมว่าแม้เด็กจะได้เรียนเรื่องโภชนาการหรือดื่มนมที่โรงเรียน แต่เมื่ออยู่บ้านพวกเขาต้องกินสิ่งผู้ปกครองเตรียมให้ในแต่ละมื้อ
ความห่วงใยของวรฉัตรสะท้อนอยู่ในผลการสำรวจเมื่อปี 2562 ที่พบว่า ร้อยละ 26.5 ของเด็กในแม่ฮ่องสอนมีภาวะแคระแกร็น – สภาวะอันเกิดจากทุพโภชนาการเป็นเวลานาน ซึ่งอาจทำให้ส่วนสูงน้อยกว่าเกณฑ์อายุ หรือส่งผลเสียต่อพัฒนาการของสมองในระยะยาว อัตราส่วนภาวะแคระแกร็นที่แม่ฮ่องสอนนี้สูงเป็นสองเท่าของค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่ร้อยละ 13.3 นอกจากนี้ผลการสำรวจยังพบด้วยว่า ภาวะแคระแกร็นพบมากในหมู่เด็กจากครอบครัวยากจนที่สุด
“ผลการสำรวจระดับจังหวัดช่วยระบุความต้องการของเด็กในแต่ละภูมิภาคได้” นงลักษณ์ โงวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการกองสถิติสังคม สำนักงานสถิติแห่งชาติกล่าว “เด็กบางคนมีส่วนสูงหรือน้ำหนักต่ำกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันในภาคอื่น ๆ ของประเทศ ในขณะที่บางคนมีอัตราการเรียนรู้ต่ำกว่าเด็กในภูมิภาคอื่น ข้อมูลนี้จะถูกนำไปใช้โดยองค์กรที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบนโยบายในอนาคต”

การเดินทางไปยังครัวเรือนเพื่อเก็บข้อมูลถือเป็นงานท้าทายเสมอมา นงลักษณ์เสริมว่าโรคระบาดยิ่งทำให้การเก็บข้อมูลสำหรับ Thailand 2022 MICS ยากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการนำแท็บเลตและเครื่องมือไปเก็บข้อมูลเช่นเครื่องชั่งดิจิตอลและเครื่องวัดส่วนสูง พนักงานแจงนับยังต้องป้องกันตนเองจากโควิด-19 ด้วยการใส่หน้ากากและถุงมือ พกสเปรย์ฆ่าเชื้อโรคเพื่อทำความสะอาดเครื่องมือก่อนและหลังใช้อีกด้วย
ในปี 2565 UNICEF สนับสนุนความช่วยเหลือทางเทคนิคและงบประมาณเป็นเงินจำนวน 7.74 ล้านบาทไทย หรือประมาณร้อยละ 35 ของค่าใช้จ่ายรวมสำหรับงานสำรวจครั้งล่าสุด เพื่อช่วยสำนักงานสถิติแห่งชาติเก็บข้อมูลในระดับจังหวัดใน 10 จังหวัดยากจนที่สุด เพื่อสนับสนุนพนักงานเก็บข้อมูลในงานภาคสนามของพวกเขา งบประมาณนี้ยังจะใช้ในการจัดหาแท็บเลตและหน้ากากอนามัย ชุดตรวจแอนติเจนและอุปกรณ์สุขอนามัยสำหรับการสำรวจทั่วประเทศ
“การสำรวจ Thailand 2022 MICS จะแสดงให้เห็นถึงภาพรวมของความก้าวหน้าในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสุขภาวะของเด็กที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งความท้าทายและความเหลื่อมล้ำที่เด็กในจังหวัดและชุมชนเปราะบางด้อยโอกาสที่สุดต้องเผชิญ ผลการสำรวจมุ่งที่จะช่วยผู้วางนโยบายให้ปรับปรุงนโยบายได้ดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่มีเด็กที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง และเพื่อให้พวกเขาบรรลุศักยภาพสูงสุด” ชญานิศกล่าว